ฟิลเลอร์ฉีดจุดไหนได้บ้าง? แต่ละจุดใช้กี่ CC? มาดูกันเลย!เคยสงสัยไหมว่า
ฟิลเลอร์ สามารถฉีดตรงไหนได้บ้าง? แล้ว ต้องใช้ปริมาณเท่าไหร่ถึงจะเห็นผล? หลายคนรู้เพียงแค่ว่าการฉีดฟิลเลอร์ช่วยให้ใบหน้าของเราดูอิ่มฟู และเรียบเนียมมากขึ้น แต่ฟิลเลอร์สามารถฉีดจุดไหนได้บ้าง ? และจะต้องใช้กี่ CC. ถึงจะเห็นผล ? วันนี้เราจะมาแชร์ข้อมูลกันแบบเข้าใจง่าย ๆ ก่อนจะตัดสินใจฉีดฟิลเลอร์กัน!
จริง ๆ แล้ว ฟิลเลอร์สามารถฉีดได้หลายจุดบนใบหน้า เพื่อช่วยทั้งเติมเต็ม ปรับรูปหน้า และลดเลือนริ้วรอย โดยจุดที่คนนิยมฉีดกันมีทั้งหมด 7 จุด ดังนี้!
1. ฟิลเลอร์ปาก – เติมเต็มปากให้อวบอิ่ม ดูสุขภาพดีอยากให้ปากดูอวบอิ่ม สุขภาพดี ไม่แห้งแตก?
ฟิลเลอร์ปากช่วยได้! นอกจากจะช่วยเพิ่มวอลลุ่มแล้ว ยังช่วยปรับรูปทรงให้สวยขึ้น ไม่ว่าจะเติมกระจับ ยกมุมปาก หรือทำให้ริมฝีปากดูสมส่วนขึ้น เหมาะสำหรับคนที่อยากให้หน้าดูหวานขึ้นแบบเป็นธรรมชาติสุด ๆ
ปริมาณที่ใช้โดยเฉลี่ย: 1 - 2 CC.
เหมาะกับใคร:
- คนที่มีริมฝีปากบาง อยากให้ดูอวบอิ่ม
- คนที่อยากเติมขอบปากให้คมชัดขึ้น
- คนที่อยากปรับทรงปากให้ดูสมส่วน
2. ฟิลเลอร์ใต้ตา – ลดรอยคล้ำ ใต้ตาลึก คืนความสดใสให้ใบหน้า!นอนดึก พักผ่อนน้อย ใต้ตาลึกจนหน้าดูโทรมใช่ไหม? ฟิลเลอร์ใต้ตาช่วยได้! แค่ฉีดก็ช่วย เติมเต็มร่องลึก ลดความคล้ำ และปรับผิวให้เรียบเนียน ทำให้ใต้ตาดูสดใสขึ้นทันที! ไม่ต้องศัลยกรรม ไม่ต้องพักฟื้น หลังฉีดใช้ก็สามารถชีวิตได้ปกติเลย
ปริมาณที่ใช้โดยเฉลี่ย: 1 - 2 CC.
เหมาะกับใคร:
- คนที่ใต้ตาลึก มีรอยคล้ำ
- คนที่อยากให้ใบหน้าดูสดใส อ่อนเยาว์ขึ้น
- คนที่มีร่องน้ำตาลึกจากโครงสร้างใบหน้า
3. ฟิลเลอร์ร่องแก้ม – ลดริ้วรอย ให้หน้าดูเด็กลงร่องแก้มลึกทำให้หน้าดูมีอายุเกินจริงใช่ไหม? ฟิลเลอร์ช่วยได้! แค่เติมเต็มร่องแก้มให้ตื้นขึ้น หน้าก็ดูเด็กลงทันที ผิวดูอิ่มฟู สดใสขึ้นแบบเป็นธรรมชาติ!
ปริมาณที่ใช้โดยเฉลี่ย: 2 - 6 CC.
เหมาะกับใคร:
- คนที่มีร่องแก้มลึกจนหน้าดูมีอายุ
- คนที่อยากให้หน้าเด็กลงแบบไม่ต้องผ่าตัด
4. ฟิลเลอร์ขมับ – เติมเต็มขมับ ให้หน้าดูสมดุลขมับตอบทำให้หน้าดูโทรม ดูมีอายุใช่ไหม? ฟิลเลอร์ช่วยเติมเต็มขมับให้ดูสมดุล และช่วยพรางโหนกแก้มให้หน้าดูละมุนขึ้นได้ นอกจากทำให้ใบหน้าดูเต็มขึ้นแล้ว ยังช่วย ยกผิวบริเวณหางตา หางคิ้ว ทำให้หน้าของเราดูสดใส สมดุล และมีมิติมากขึ้นด้วย
ปริมาณที่ใช้โดยเฉลี่ย: 2 - 4 CC.
เหมาะกับใคร:
- คนที่มีขมับตอบ ทำให้หน้าดูแบน
- คนที่อยากให้ใบหน้าดูอิ่มฟู และดูสมส่วนขึ้น
5. ฟิลเลอร์คาง – ปรับรูปหน้าให้เรียวสวย มีมิติอยากให้ใบหน้าดูเรียวยาว แต่ไม่อยากศัลยกรรม? ฟิลเลอร์คางช่วยได้! เหมาะสำหรับคนที่มี คางสั้น คางตัด หรือรู้สึกว่าหน้าดูไม่สมส่วน การเติมฟิลเลอร์ที่คางจะช่วยให้ใบหน้าของเราดูเรียวยาวขึ้นแบบเป็นธรรมชาติ
ปริมาณที่ใช้โดยเฉลี่ย: 2 - 4 CC.
เหมาะกับใคร:
- คนที่คางสั้น คางตัด อยากให้หน้าดูสมดุลขึ้น
- คนที่อยากให้หน้าดูเรียวยาวขึ้น
6. ฟิลเลอร์กรอบหน้า (Jawline Filler) – กรอบหน้าชัด หน้าเรียวขึ้นทันทีอยากให้กรอบหน้าคมชัด ดูมีมิติแบบดารา? ฟิลเลอร์กรอบหน้าช่วยได้! เหมาะสำหรับคนที่รู้สึกว่ากรอบหน้าไม่ชัด หน้าดูหย่อนคล้อย หรืออยากให้มุมด้านข้างดูเป๊ะขึ้น
การฉีด
ฟิลเลอร์ Jawline คือการเติมฟิลเลอร์ตั้งแต่คางไปจนถึงแนวสันกราม ช่วยให้กรอบหน้าดูคมขึ้น กระชับขึ้น ทำให้ใบหน้าดูเรียว และเล็กลง
ปริมาณที่ใช้โดยเฉลี่ย: 2 - 6 CC.
เหมาะกับใคร:
- คนที่มีกรอบหน้าไม่ชัด หน้าไม่เรียว
- คนที่อยากให้หน้าดู V-Shape โดยไม่ต้องศัลยกรรม
7. ฟิลเลอร์แก้มส้ม – เพิ่มวอลลุ่มให้หน้าดูเด็กลง"แก้มส้ม" คือจุดที่อยู่ระหว่างใต้ตากับแก้ม และโหนกแก้มกับจมูก การฉีดฟิลเลอร์ตรงจุดนี้ จะช่วยให้หน้าจะดูอิ่มฟู มีมิติ และดูอ่อนเยาว์ขึ้นทันที! การฉีดฟิลเลอร์แก้มส้มเหมาะสำหรับคนที่ มีแก้มตอบ แก้มยุบ หรือรู้สึกว่าหน้าแบน ดูไม่มีมิติ
ปริมาณที่ใช้โดยเฉลี่ย: 2 - 4 CC.
เหมาะกับใคร:
- คนที่รู้สึกว่าแก้มดูแบน ไม่มีมิติ
- คนที่อยากให้ใบหน้าดูสดใส อ่อนวัยขึ้น
ฟิลเลอร์นั้นสามารถฉีดได้หลายจุดบนใบหน้า ไม่ว่าจะเป็นปาก ใต้ตา ร่องแก้ม ขมับ คาง กรอบหน้า หรือแก้มส้ม ซึ่งแต่ละตำแหน่งก็ใช้ปริมาณ CC. ที่แตกต่างกัน ขึ้นอยู่กับปัญหาของแต่ละคน ไม่จำเป็นต้องฉีดเยอะ ๆ ในครั้งเดียว ค่อย ๆ เติมไปทีละนิด เพื่อให้ดูเป็นธรรมชาติ และลดความเสี่ยงของการฉีดที่มากเกินไปด้วย
สิ่งสำคัญที่สุดคือ ต้องเลือกฉีดกับแพทย์ที่มีประสบการณ์ และใช้ฟิลเลอร์แท้ที่ได้มาตรฐาน! เพื่อให้มั่นใจเรื่องของความปลอดภัย และเพื่อได้ผลลัพธ์ที่ดีที่สุดนั่นเอง